วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

พระคุณแม่

พอดีอ่านเจอในเว็บ เห็นว่าซึ้งดีเลยเก็บมาฝากครับ…
ยามเด็กแม่อุ้มชู…เลี้ยงดูเจ้า
แม่ต้องเฝ้ายามเจ้าป่วย ร้องไห้จ้าต้องแบกหามจนบ่าทรุด
เลี้ยงเจ้ามาทั้งการศึกษาให้แก่เจ้า…อย่างลำเค็ญ
แม่เพียงหวังเห็นเจ้าได้เติบใหญ่
พร้อมกับใจรักแม่
ที่ยากเข็นไม่เคยขอสิ่งใดเกินจำเป็น
เพียงทำเช่นแม่เคยทำ…กับเจ้ามา
ลูกหลายคนแม่เลี้ยงเจ้ามาได้
แม่คนเดียวไฉน…จึงปล่อยลำบากหนา
ต้องเร่ร่อนนอนวัดพลัดถิ่นมา....
กินน้ำตาต่างข้าวไปวัน.....วัน
แลกข้าวแม่แต่ละมื้อ.....กับบุหรี่ได้ใหมเล่า
ที่เจ้าเฝ้าเผาพ่นเพลินอย่างสุขสันต์
แลกที่ซุกหัวนอนให้แม่..กับน้ำจันท์
ขอแลกมันกับค่าน้ำนมแม่…ได้ใหมเอย

ทางออกการเมืองไทย

โพลชี้คนหนุนยุบสภา ทางออกการเมืองไทย เพื่อให้ปชช.เป็นผู้ตัดสินใช้หลักประชาธิปไตย ได้รัฐบาลใหม่ คนใหม่เข้ามาทำงานแทนรัฐบาลชุดปัจจุบัน รองลงมาเห็นว่าควร ปรับ ครม. หรือลาออกทั้งคณะ
สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "ทางออกของการเมืองไทยในสายตาประชาชน” พบว่า ประชาชน 28.44% เห็นว่าควรยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใช้หลักประชาธิปไตย ได้รัฐบาลใหม่-คนใหม่เข้ามาทำงานแทนรัฐบาลชุดปัจจุบัน ลดความขัดแย้งและทำให้การประท้วงยุติ
รองลงมา 25.12% เห็นว่าควรปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คนใหม่เข้ามาแทนรัฐมนตรีที่ทำงานผิดพลาด-มีข้อเสีย และไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง เพราะเป็นการสูญเสียงบประมาณ ส่วน 17.54% เห็นว่าคณะรัฐมนตรีควรลาออกเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เนื่องจากรัฐบาลบริหารงานไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ และเมื่อรัฐมนตรีบางคนทำผิดก็ควรช่วยกันรับผิดชอบ ทั้งยังเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ทำงานเพื่อพวกพ้อง การลาออกเป็นการแสดงสปิริต
โพลยังระบุว่า ประชาชน 15.40% เห็นว่า พรรคร่วมรัฐบาลควรถอนตัวไปร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำงานอย่างจริงจัง เป็นวิธีที่จะทำให้ยุติการประท้วงและความรุนแรงของพันธมิตรฯ ได้ และไม่เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณที่จะต้องเลือกตั้งใหม่ ขณะที่มีเพียง 3.31% ต้องการให้ยึดอำนาจ/รัฐประหาร/รัฐประหารโดยทหาร/มีการปฏิวัติกันเองของรัฐบาล โดยให้เหตุผลว่า บ้านเมืองจะได้สงบสุข ไม่มีปัญหาความขัดแย้ง ดีกว่ายุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ เพราะสิ้นเปลือง
อย่างไรก็ตาม 10.19% เห็นว่าทุกฝ่ายควรหันหน้าเข้าหากัน หรือถอยกันคนละก้าว ทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ มิใช่ทำเพื่อตัวเองหรือพวกพ้อง และควรถอดถอนรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ตำนาน...เทศกาลกินเจ

ใกล้ “เทศกาล กินเจ” อีกแล้วนะครับ พี่ น้อง ซึ่งปีนี้ตรงกับ วันที่ 29 ก.ย.
ถึง 7 ตุลาคม พ.ศ. 2551 สำหรับประเพณีจีน จะต้องล้างท้องก่อน 1 วัน
คือ เริ่ม กินเจ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. แล้วพี่ น้อง รู้หรือไม่ว่า เทศกาล กินเจ
มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง… ตำนานเทศกาลกินเจเทศกาลเจ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณ
400 ปีมาแล้ว ตามตำนานเล่าว่า เกิดมาในสมัยที่ชาวจีนถูกรุกรานโดยชนชาติ
แมนจู ซึ่งเข้าปกครองประเทศจีน และบังคับให้ชนชาติจีนยอมรับวัฒนธรรมของตน
อาทิ การไว้ทรงผมเยี่ยงแมนจู คือ โกนศีรษะโล้นทางด้านหน้าและไว้ผมยาวทาง
ด้านหลัง ซึ่งหลายคนคงจะชินตาในภาพยนตร์จีนที่นำมาฉายทางทีวี ในสมัยนั้น
มีคนจีนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันต่อต้านชาวแมนจู โดยใช้หลักทางธรรมเข้ามาร่วมด้วย
ชาวจีนกลุ่มนี้ นุ่งขาว ห่มขาวและไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีความเชื่อว่า การ
ประพฤติปฏิบัติตามแนวทางนี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับกลุ่มของตนจน
สามารถต้านทานชาวแมนจูได้ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า “หงี่หั่วท้วง” ซึ่งแม้จะได้ต่อ
สู้อย่างอาจหาญ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานการรุกรานของชาวแมนจูได้

เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู
จึงพากันถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ “หงี่หั่วท้วง” ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น
ความเชื่อถืออีกกระแสหนึ่งของตำนานการกินเจนั้น เชื่อกันว่าเป็นการสักการะ

พระพุทธเจ้าในอดีต 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9
พระองค์ หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า ดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 ในพิธีกรรมนี้ สาธุชนจึงงดเว้น
จากการฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต หันมาบำเพ็ญศีล โดยการตั้งปณิธานในการกินเจ งดเว้นอาหาร

คาว เพื่อเป็นการสมาทานศีล 3 ประการ คือ

  1. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตของตน
  2. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเลือดของตน
  3. เว้นจากการเอาชีวิตของสัตว์มาเพิ่มเนื้อของตน

สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่ พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของกการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ “เจ้าแม่กวนอิม” การกินเจ จึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ
บรรยากาศเทศกาลกินเจของเมืองไทยในปัจจุบัน คนทั่วไปไม่เว้นแม้กระทั่งหนุ่มสาวยุคใหม่ต่างก็หันมากินเจกันมากขึ้นทั้งนี้ อาจจะมาจากกระแสเรื่องห่วงใยสุขภาพมากกว่าความเชื่อโบราณ เพราะการงดเนื้อสัตว์ทุกชนิดและหันมาบริโภคแต่ผัก ผลไม้นั้นจะช่วยชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย หรือคนยุคนี้เรียกว่า “การล้างพิษ“ ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น
ความหมายของ “เจ”“เจ” ในภาษาจีนมีความหมายว่า “อุโบสถ“ เป็นคำแปลทางพุทธสาสนา นิกายมหายาน
การกินเจนั้นแต่เดิมหมายความถึง “การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน” ตามแบบอย่างของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นตัวอย่างชาวพุทธรักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ด้วยการไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงไปแล้วเช่นเดียวกับพระภิกษุ แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย จึงนิยมเรียกการไม่กินเนื้อสัตว์ไปรวมกับการกินเจ จนถึงปัจจุบัน ผู้ที่รับประทานอาหารครบ 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ยังคงเรียกว่า “กินเจ”
ความหมายของการกินเจ จึงหมายถึงการรักษาศีล ปฏิบัติธรรมทั้งกาย วาจา และใจ ไม่ใช่หมายความเพียงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น การปฏิบัติธรรมร่วมไปด้วยจึงจะครบเป็น “การถือศีล-กินเจ” อย่างแท้จริง
ความหมายของ “ธงเจ”อักษรแดง บนพื้นเหลือง เขียนว่า “ไจ” หรือ “เจ” มีความหมายว่า “ของไม่มีคาว” สีแดงเป็นตัวแทนของความเป็นสิริมงคลในชีวิต ส่วนสีเหลืองเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตน “ถือศีล-กินเจ” ได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน
การปฏิบัติตัวในช่วงเทศกาลกินเจเมื่อตั้งมั่นที่จะปฏิบัติศีลและกินเจ ในช่วงเทศกาลกินเจ 9 วัน 9 คืนนี้แล้ว ก็ควรจะศึกษาข้อห้ามต่างๆ ที่บัญญัติไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตัว โดยทั่วไปแล้วจะมีข้อปฏิบัติดังนี้
งดเว้นเนื้อสัตว์ หรือทำอันตรายต่อสัตว์
งด นม เนย หรือน้ำมันที่มาจากสัตว์
งดอาหารรสจัด หมายถึง อาหารรสเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เปรี้ยวมาก
งดผักกลิ่นฉุน 5 ชนิด คือ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ รวมทั้งเครื่องเทศที่มีกลิ่นฉุน
รักษาศีล 5
รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์ให้คงที่
ทำบุญ ทำทาน บางคนที่เคร่งอาจนุ่งขาว ห่มขาว
สำหรับคนที่กินเจอย่างเคร่งครัด นอกจากจะ “ถือศีล-กินเจ” แล้วยังต้องเลือกผู้ปรุงอาหารเจที่กินเจด้วย เพื่อให้ “อาหารเจ” นั้นบริสุทธิ์จริงๆ บางคนจะมีการคัดแยกภาชนะที่บรรจุอาหารหรือใช้ปรุงอาหาร แยกจากที่ใช้ใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์อย่างเด็ดขาด และในบางแห่งอาจพบว่ามีการจุดตะเกียงเก้าดวง ไว้เป็นเวลา 9 วันตลอดระยะเวลาการกินเจ เพื่อเป็นการรำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ญาติพี่น้อง และเพื่อเป็นพุทธบูชา
อาหารเจปัจจุบันมีการยอมรับกันโดยทั่วไปถึงคุณค่าของ “อาหารเจ” เนื่องจากการรับประทานพืชผักในปริมาณที่มากกว่าปกติ งดเว้นเนื้อสัตว์ ทำให้กระเพาะได้พักจากภารกิจการย่อยเนื้อสัตว์ที่ทำประจำอยู่ และได้รับวิตามินเข้าไปเสริมสร้าง ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ รวมทั้งได้โปรตีนจากถั่วชนิดต่างๆ ซึ่งแตกต่างจากโปรตีนที่เราได้รับจากเนื้อสัตว์ ช่วงเวลานี้จึงถือเป็นช่วงที่ร่างกายได้พักผ่อนจากการรับสารอาหารย่อยยากจากแหล่งอาหารต่างๆ รวมทั้งยังได้รับพลังใจจากการที่ปฏิบัติตัวอยู่ในศีล ทำให้จิตใจอิ่มเอิบ เบาสบาย
หลายคนคิดว่า การรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เกิดโรคขาดอาหาร ทั้งที่สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคขาดอาหารนั้น มาจากการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับผู้ที่กินเนื้อสัตว์และกินเจ ซึ่งมีนิสัยการบริโภคที่ไม่คำนึงถึงคุณค่าของสารอาหารที่ได้รับ
คนที่กินเจอย่างถูกหลักก็จะได้รับอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การประกอบอาหารเจเพื่อรับประทานในช่วงนี้ จึงสามารถเลือกอาหารพวก ข้าวกล้อง (ใช้แทนข้าวขาว) โปรตีนเกษตร (แทนเนื้อสัตว์) ผักสด เห็ดหอม ถั่วนานาพันธุ์ เต้าหู้ แป้งหมี่กึง ทดแทน และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำเป็นอาหารชนิดต่างๆ
“เจ” กับมังสวิรัติอาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ แต่อาหารเจ ต้องงดเว้นผักฉุน 5 ประเภท (ดังที่กล่าวมาแล้ว) รวมทั้งของเสพติดทุกชนิด และยังคงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย จึงจะเป็นการ ถือศีล-กินเจ ที่แท้จริง ในขณะที่มังสวิรัติ หมายรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์เท่านั้น
การกินเจ นอกจากจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสร้างบุญกุศลด้วยการละ เลิก เพื่อชีวิตแล้ว ในแง่ของสุขภาพร่างกายก็พลอยได้รับประโยชน์ร่วมด้วย เพราะถือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่ร่างกายมีโอกาสพักผ่อน จากการย่อยอาหารประเภทที่ย่อยยากทั้งหลาย
กิน “เจ” ที่ภูเก็ต“เจ” ที่ภูเก็ตมาจากรากฐานความเชื่อเดียวกัน คนจีนเรียก “เจเดือนเก้า” แต่ถ้านับตรงกับเดือนไทยก็จะได้ตรงกับเดือน 11 เทศกาลกินเจที่ภูเก็ตจึงมีขึ้นหลังเทศกาลกินเจทั่วๆ ไป บางครั้งเราจึงมักได้ยินเชื่อเรียกของเทศกาลกินเจที่ภูเก็ต ว่าเป็นเทศกาลกินผัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการกินเจในรูปแบบและระยะเวลา 9 วันเช่นเดียวกัน
ความเชื่อเกี่ยวกับการกินเจที่ชาวภูเก็ตเล่าสืบต่อกันมาว่า มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้ แล้วบังเอิญเกิดโรคระบาด คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้น ปรากฏว่าโรคระบาดก็หายไปสิ้น ชาวบ้านเกิดความเลื่อมใสจึงปฏิบัติตาม นับเนื่องจากนั้นมีผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ชาวกระทู้จึงอยากให้พิธี “กินเจ” ของตนสมบูรณ์แบบ ตามแบบพิธีในมณฑลกังไส จึงได้ส่งตัวแทนไปนำเอาควันธูปกลับมา โดยการตั้งมั่นที่แรงกล้า เพราะพิธีการนำควันธูปกลับมานั้น ต้องจุดธูปต่อกันมิให้มอดดับได้ ศาลเจ้ากระทู้จึงเป็นศูนย์กลางของเทศกาลการกินเจที่ภูเก็ตเรื่อยมา จนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศ
9 วันแห่งพิธีกรรมของการกินเจที่ภูเก็ตกลางคืนวันที่หนึ่ง จะมีพิธียกเสา “โกเด้ง” ขึ้นที่หน้าศาลเจ้า หรืออ๊าม เพื่อใช้เป็นที่แขวนตะเกียงทั้ง 9 ดวง และอัญเชิญดวงวิญญาณของยกอ๋องฮ่องเต้ หรือ พระอิศวร และ กิวอ๋องไตเต หรือ ราชาผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า มาประทับ เช้าวันรุ่งขึ้นมีการจุดธูปขนาดใหญ่ ตั้งเครื่องเซ่นและเผาไม้หอม เพื่อบูชาเจ้าประจำอ๊าม
หลังพิธีการกินเจ หรือชาวภูเก็ตเรียก “การกินผัก” ผ่านไป 3 วัน จะถือว่าตัวเองมีความสะอาดแล้ว หรือเรียกว่า “เช้ง” ในตอนค่ำมีพิธีการเชิญเจ้าเข้าทรงอีก 2 องค์ คือ “ลำเต้า” เจ้าผู้สำรวจคนเกิด และ “ปักเต้า” เจ้าผู้สำรวจคนตาย และทำพิธี “ปั้งกุ้น” หรือพิธีปล่อยพระ หรือการจัดทหารของเจ้าไปรักษาศาลเจ้าทั้ง 5 ทิศ เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย และภูตผีมาทำลายพิธี ความสนุกสนานเริ่มขึ้นตรงนี้ เมื่อการเชิญทหารเต็มไปด้วยร่างทรงของตัวละคร อาทิ เห้งเจีย บู๊สง เป็นต้น
ในวันที่เจ็ด เริ่มพิธี บูชาดาว เพื่อขอความเป็นสิริมงคล รักษาโรคภัยไข้เจ็บ
สองวันสุดท้าย เป็นความตื่นเต้นท้าทาย เมื่อมีการจัดขบวนพิธีแห่อย่างมโหฬาร เพื่อนำเกี้ยวไปรับพระจำหลักที่สะพานหิน เป็นการระถึงวันที่ควันธูปจากมณฑลกังไสมาถึงภูเก็ต ในขบวนแห่จะมีการแสดงอิทธิฤทธิ์ของม้าทรง หรือ คนทรงเจ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จะเห็นภาพของการใช้ของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงตามร่างกาย มีทั้งง้าว ลูกตุ้มเหล็กฟาดหน้าฟาดหลัง เอาขวานจามหลัง หรือเอาเหล็กแหลมทิ่มแทงร่างกาย หรือแทงลิ้น จนกระทั่งเฉือนลิ้นตัวเองออกมา โดยท้าทรงเหล่านั้นอ้างว่าไม่มีความเจ็บปวดใดๆ ขณะเป็นร่างทรง ม้าทรงจะเดินเต้น ไปทั่วเมือง ชาวบ้านจะตั้งโต๊ะเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้เจ้าไปโปรดและมีการจุดประทัดตลอดเส้นทาง ทั้งเกาะปกคลุมด้วยควันธูปและประทัด
วันที่เก้า จะมีพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือ พิธี “โก๊ยโห้ย” หรือพิธีลุยไฟสะเดาะเคราะห์ ม้าทรง หรือเจ้าจะเดินผ่านกองไฟ ที่มีถ่ายร้อนแดงเป็นระยะทางกว่า 2 ฟุต และตามด้วยผู้ที่ถือศีลกินเจที่มีความมั่นใจว่าตัวเองสะอาดแล้ว ก็สามารถร่วมลุยไฟได้ด้วยเช่นกัน ในตอนกลางคืนจะมีพิธีปีนบันไดมีด สูงประมาณ 12 เมตร และจบลงที่ยามดึกของคืนวันที่ 9 จะมีการแห่พระไปส่งทะเลบริเวณสะพานหิน และนำเสาโกเต้งลงดับโคมไฟทั้ง 9 เป็นเสร็จพิธีกินเจที่ภูเก็ต
กินเจ ที่ภูเก็ต ออกไปในแนวสนุกสนาน ตื่นเต้น ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ แต่หลายคนที่ไปดูด้วยตาตนเอง ยังพกความตื่นตาตื่นใจ เป็นประสบการณ์มาถึงปัจจุบัน และเป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมการกินเจอีกรูปแบบหนึ่ง
ประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตส ซึ่งมีในผักและผลไม้ เป็นพลังงานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย
ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผักช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวาร
หากรับประทานเป็นประจำ จะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรง มีความต้านทานโรค มีความคล่องตัว รู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด
ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคสำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ ซึ่งไม่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ และยังช่วยป้องกันโรคร้ายเหล่านี้
อวัยวะหลักของร่างกาย และอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพ อวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอดอวัยวะเสริมทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะ ปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดีผู้ที่กินเจ จะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตราย อื่นๆอวัยวะหลัก ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอดมลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศรวมถึงแหล่าอาหารและน้ำดื่ม
กัมมันตภาพรังสี จากการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ และ การทำสงคราม สารอาหารจากพืชพัก ช่วยให้เซลล์ในร่างกายทนต่อการทำลายจากกัมมันตภาพรังสีได้ในทางการแพทย์ การกินเจ มีประโยชน์ในการรักษาโรคที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้จัดเจนกว่า ประโยชน์ในทางศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่ละเอียดเท่าเรื่องของศาสนาจึงสามารถมองเห็นได้ง่ายกว่าเป็นธรรมดา แม้ว่าการปฎิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนา

วันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2551

ต้นแอปเปิ้ลกับเด็กน้อย

นานมาแล้ว มีต้นแอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่ง

ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน เขาปีนขึ้นไปบนยอดของ

ต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ลและก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล

เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขาเวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่ง

เล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว วันหนึ่งเด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดู

เศร้า "มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม "ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้ว

นะฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น ฉันอยากได้เงิน

ไปซื้อของเล่น" เด็กน้อยตอบ "ฉันไม่มีเงินจะให้ ....เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉัน

ไปขายสิ เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น " ต้นไม้ตอบ เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขา

เก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมด และจากไปอย่างมีความสุข หลังจากเขาเก็บ

แอปเปิลไปหมดแล้วเขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย ....ต้นไม้ดูเศร้า......

วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก "มาหาฉัน

และมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้ถาม "ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบ

ครัวแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเองเราต้องการบ้าน ช่วยฉัน

ได้ไหม" "ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ ....เอาไปสร้าง

บ้าน" ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมี

ความสุข อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า.. วันหนึ่งในฤดูร้อน

เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก "มาหาฉันและมาเล่นกับฉันเหรอ" ต้นไม้

ถาม "เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้นฉันอยากแล่นเรือไปพัก

ผ่อนไกลๆ ให้เรือ ฉันได้ไหม"......."ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ

เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข" ต้นไม้ตอบ ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำ

ต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย ..........

หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก "ฉันเสีย

ใจฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ....ฉันไม่มีลำต้นให้ปีน

อีกแล้ว" "ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว

" เด็กน้อยตอบ "ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่

กำลังจะตาย" "ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้วแค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อย

มาหลายปีแล้ว" "รากของต้นไม้แก่ ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้ ...... มาสิ นั่งลง

ข้างๆ ฉัน ...หลับให้สบาย....." เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม...และ

น้ำตาไหล........


นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ

เรารักที่จะเล่นกับพ่อ กับแม่...เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับ

มาหาท่านเมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา ไม่ว่าอย่างไร

...พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้หวัง เพียงเรามี

ความสุขคุณอาจจะคิดว่า "เด็กน้อย" ในเรื่องโหดร้ายแต่นั่นคือความจริงที่

สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร?


........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย .....???

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

Here are useful in classroom.

Each period in your English class. We often hear and use many expressions. Let's see and review it.Here are useful classroom expressions.

Stand up. ยืนขึ้นค่ะ Sit down. นั่งลงค่ะ Open your book. เปิดหนังสือค่ะ Close your book. ปิดหนังสือคะ Pass out the paper. แจกใบงานให้เพื่อนค่ะ Collect the paper. เก็บใบงานให้ครูค่ะ Look at this word. ดูศัพท์คำนี้ค่ะ Say the word. ออกเสียงคำศัพท์นะคะ Write on the board. เขียนบนกระดานค่ะ
Erase the board. ลบกระดานนะคะ Listen to this cassette.ฟังเทปนะคะ Listen to the song. ฟังเพลงนี้ค่ะ Take out your pen. เอาปากกาขึ้นมาค่ะ Raise your hand. ยกมือขึ้นค่ะ Work in pairs. ให้ทำงานเป็นคู่ๆนะคะ Work in groups of 5. ให้ทำงานกลุ่มละ 5 คน Could you read this? นักเรียนอ่านตรงนี้ได้ไหม
How do you spell that?ศัพท์ตัวนี้สะกดอย่างไรคะ What does it mean? คำนี้แปลว่าอะไรคะ I don't understand. หนู/ผม ไม่เข้าใจ ค่ะ/ครับ

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

Showing jposts with label วิจารณ์การเมืองไทย

เกินไปหรือเปล่า
นึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้อย่างใจนึก ทำอะไรไม่ผิด อยากตีหัวหมาด่าแม่เจ็กก็ตามสบาย แต่ที่ทนให้ยึดทำเนียบพอทนได้ ไม่เคารพกฎหมายพอทนได้ ชุมนุมทำให้คนตามคงทนไม่ได้ เพราะพันธมิตรไม่เคยประกาศความรับผิดชอบ โยนความผิดให้เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่กำกับดูแล พันธมิตรคงเห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลากระมัง ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ เท่านั้นยังไม่พอยังทำลายประเทศชาติไม่มีที่สิ้นสุด ครั้งสุดท้ายทำนาในทำเนียบ อาจเป็นความสะใจอย่างหนึ่ง เหิมเกริมอย่างหนึ่ง ไม่แคร์สายตาประชาชนชาวไทยอย่างหนึ่ง ตลอดจนสายตาของชาวโลก พฤติกรรมเช่นนี้เป็นกระจกบานใหญ่ สะท้อนให้เห็นความชั่ว ไร้จิตสำนึก ความด้อยค่า แสดงให้เห็นจิตใต้สำนึกภาวะผู้นำของพันธมิตร ตลอดจนผู้ให้การสนับสนุนได้เป็นอย่างดี การกระทำเช่นนี้มากเกินไปหรือเปล่า อย่าลืมว่าประเทศไทยมีพระสยามเทวาทิราชปกป้องคุมครอง ท่านคงจับตามอง อย่าให้เกินเลยกว่านี้อาจได้รับโทษมหันต์ก็เป็นได้ ...
ที่
Saturday, September 06, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
05 September 2008

หรือจะกลียุค
ในเมื่อไม่เคารพกฎหมาย ใช้อารยขัดขืน ของกลุ่มพันธมิตรและพวกพ้อง ประเทศไทยกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนต่อไป กลุ่มต่างๆเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้างคนไม่ว่าอะไรนะ
ในเมื่อนักวิชาการ คณาจารย์ นิสิตนักศึกษา รัฐวิสาหกิจ สื่อสารมวลชน (บางกลุ่ม) ให้การสนับสนุนพันธมิตร ทั้งๆที่รู้อยู่ว่าการกระทำดังกล่าวทำให้ประเทศชาติเสียหาย ขาดความ เชื่อมั่นจากนานาประเทศ สองครั้งสองครา ตั้งแต่การปฏิวัติตั้งแต่ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันท่านคงไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบร่วมกันหรอกนะ
พันธมิตรใช้ ASTV โฆษณาชวนเชื่อ เสนอข่าวด้านเดียว มอมเมาประชาชนตลอด 24 ชม. ไม่มีใครสามารถจัดการได้ เพราะศาลคุ้มครอง
พันธมิตรทำอะไรไม่ผิด ถูกต้องหมด สงสัยมีดีอะไรนะ อาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลังดี ท่อน้ำเลี้ยงดี ถ้าไม่ดีคงไปแล้ว เพราะใช้เงินจำนวนมหาศาล จึงอยู่ได้เป็นร้อยวัน ถ้าเป็นอย่างนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเขาคงไม่ยอม ออกมาตอบโต้เมื่อไหร่กลียุคแน่ ฟันธง
ที่
Friday, September 05, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
04 September 2008

ยิ่งกว่าทารก
ทารกอยากได้อะไร หรือถูกขัดใจก็ร้องไห้กระจองอแง เมื่อได้สมใจก็หยุดร้องไห้ บางครั้งพ่อแม่ไม่สามารถตอบสนองได้ จะลงโทษเฆีี่ยนตีบ้างก็จะเลิกงอแงไปเอง แต่พันธมารยิ่งกว่าทารกเสียอีก อยากได้อะไรจากรัฐบาล รัฐบาลก็ประเคนให้ เมื่อได้แล้วก็เรียกร้องร่ำไปไม่มีที่สิ้นสุดตั้งแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญ ขับไล่รัฐบาล ให้นายกลาออกหรือยุบสภา เรียกร้องไปเรียกร้องมา เจอทางตันเอง เมื่อความต้องการคือการเมืองใหม่ 70 - 30 ไม่มีใครสนองตอบแนวทางนี้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นแนวทางยิ่งกว่าทารก นายกสมัครครับคบเด็กสร้างบ้านก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบ ตบหัวบ้าง ลูบหลังบ้าง ก็เลิกงอแงแหละครับ ถ้าไม่เลิกงอแงส่งสถานพินิจดัดสันดานเสียให้เข็ด แต่พันธมารไม่ใช่เด็กทารกธรรมดา แต่เป็นเฒ่าทารก ต้องบังคับใช้กฎหมาย ยิ่งรู้กฎหมายดีทำผิดเสียเองโดยเฉพาะข้อหากบฏ ยังไม่สำนึกไปรายงานตัว จงลงโทษสถานหนัก ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป
ที่
Thursday, September 04, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: , ,
03 September 2008

เลิกหลงทางเถอะ
การเมืองใหม่ 70 ต่อ 30 ที่พันธมารเสนอว่าเป็นการเมืองที่เหมาะสมกับประเทศไทย เพราะประชาชนยังไม่พร้อมที่จะรับประชาธิปไตยแบบเต็มใบ การเลือกตั้งแต่ละครั้งมีการโกง มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ข้อนี้คงจะปฏิเสธไม่ได้ จะซื้อหรือขายเสียงประชาชนย่อมรู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นประชาชนที่รักทั้งหลายจงเลิกเสียเถิดครับ อย่าให้เขาดูถูกต่อไปอีกเลย ช่วยกันทำให้การเมืองบริสุทธิ์ยุติธรรมแล้วเราจะได้นักการเมืองที่ดีมีคุณภาพ ตราบใดที่เรายังยอมเป็นธาตุน้ำเงินของนักการเมือง ความฝันที่เราจะได้เห็นประเทศชาติพัฒนาเหมือนประเทศที่เขาเจริญแล้ว คงไม่ได้เห็นอย่างแน่นอนเห็นหรือยังการหลงทางของประชาชนที่เห็นแก่อามิสสินจ้างเล็กๆน้อยๆที่นักการเมืองประเคนให้ ทำให้ได้นักการเมืองที่ขาดคุณธรรมขาดจริยธรรม เมื่อมีการลงทุนก็ต้องมีการถอนทุน ทำให้เกิดมีการคอรรัปชั่นทุกย่อมหญ้า เป็นเงื่อนไขให้พันธมาร โจมตีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เขาจึงเสนอการเมืองใหม่ที่เขาคิดว่าแก้ปัญหาได้ ความจริงเป็นการริดรอนอำนาจของปวงชนชาวไทย หากเขาทำสำเร็จ อำนาจอธิปไตยจะเหลือเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 70 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นการแต่งตั้งของพันธมาร เขาจะกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ แล้วประชาชนจะเหลืออะไรอีก ขอให้พ่อแม่พี่น้องอย่าหลงทาง รีบถอนตัว เพื่อประชาธิปไตยของเรา
ที่
Wednesday, September 03, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: , ,
02 September 2008

สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล
เหตุเกิดขณะที่ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่หอประชุมกิติขจรในกองบัญชาการกองทัพบก มีผู้สื่อข่าวท่านหนึ่ง ไม่ทราบว่าสำนักไหน เรียนถามผบ.ทบ.ว่า "นายกเลวๆ จะเอาไว้ทำไม" แต่ลืมนึกไปว่าคำถามเลวๆอย่างนี้ มีในหมู่นักข่าวด้วยหรือ นายกเลวตรงไหน ถ้าเลวจริง ประชาชนคงไม่เลือกเป็นนายกตามระบอบประชาธิปไตยหรอกนะ สมาคมผู้สื่อข่าวคงไม่นิ่งเฉยปล่อยปละละเลย สื่อบางสำนักนำเสนอข่าวขาดความเป็นกลาง เลือกข้าง อย่าปฏิเสธนะว่าไม่จริง เขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง การนำเสนอข่าวต้องตรงไปตรงมา ไม่เลือกข้าง นำเสนอข้อมูลสองด้าน แต่นี่อะไร นำเสนอข่าวด้านเดียว โดยเฉพาะพันธมิตร อาศัยASTV ร่วมกับสื่อบางสำนัก ปลุกระดมตลอด 24 ชม. เหมือนการโฆษณาชวนเชื่อ สมัยสงครามเย็น "ที่นี่เสียงจากปักกิ่ง" ทำไมสมาคมผู้สื่อข่าว นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แล้วอย่างนี้ประชาชนผู้บริโภคข่าวประนามได้ไหมว่าพวกคุณอาจเลวยิ่งกว่าสื่อเหล่านั้น
ที่
Tuesday, September 02, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: , ,

ฟันธง
สาเหตุ พันธมารไม่ยอมหยุดชุมนุม ไม่เคารพศาล ซึ่งทางกลุ่มเคยชื่นชมว่าเป็นตุลาการที่วัด แต่ขณะนี้ ถูกตุลาการที่วัดออกหมายจับ เข้ากรณี "ดาบนัั้นคืนสนอง" เฉพาะข้อหาหนักด้วยคือ เป็นกบฏ ที่คิดล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องหลบภัยใต้ผ้าถุง เสียรางวัดหมด อายแทบแทรกแผ่นดิน หวังว่าหากได้รับชัยชนะครั้งนี้จะได้ฟอกตัวเป็นผู้บริสุทธิ์ เมินเสียเถอะ เขารู้ทันหนา อย่าได้ตะแบงต่อไปอีกเลย ชายย่อมเป็นชายอย่าให้เขาหมิ่นชายได้ ไปมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมนั้นแหละคือ หนทางที่ฟอกตัวดีที่สุด อย่าให้ประชาชีดูหมิ่นดูแคลนอีกเลยขอเตือนประชาชนผู้บริสุทธิ์ ท่านกำลังตกเป็นเครื่องมือของกบฎ เขาต้องการพวกท่านเป็นตัวช่วย อย่าให้หลงผิด ฟอกตัวให้กบฎต่อไปอีกเลย เดียวโดนข้อหาปกป้องกบฎนะครับ เตือนด้วยความหวังดี โปรดไตร่ตรอง
ที่
Tuesday, September 02, 2008 1 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,

เชื่อหรือยัง
มหาห้าขัน หนึ่งในแกนนำพันธมาร ประกาศชัดเจนว่า รัฐบาลลาออกหรือยุบสภาไม่สามารถแก้ปัญหาได้ มีทางเดียวคือ แนวทางการเมืองใหม่ โดยสรรหา 70 เปอร์เซ็นต์ เลือกตั้ง 30 เปอร์เซ็นต์ เห็นหรือยังฤทธิเดชของพันธมาร เขาต้องการอำนาจ ต้องการเป็นนายกเอง แนวทางการเมืองใหม่ ถอยหลังลงคลองสุดกู่ แล้วประเทศชาติจะพัฒนาได้อย่างไร ดังนั้นทุกพรรคการเมืองต้องร่วมมือกัน ต่อต้านอย่างเต็มที่ อย่าลืมว่าแต่ละพรรคการเมือง เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะพรรคเก่าแก่ ถอนตัวออกมาโดยเร็ว อย่าถลำตัวไปมากกว่านี้มาช่วยกันทำให้ระบอบรัฐสภาเข้มแข็ง นำระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมาโดยเร็ว อย่าให้แก๊งข้างถนนชี้นำอีกต่อไป สำหรับรัฐวิสาหกิจ บางกลุ่ม ที่ออกมากดดันรัฐบาลนั้น เพราะพวกเขากลัวเสียผลประโยชน์ หากรัฐบาลจะแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเขาต่อต้านมานานแล้ว ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ เขาเหล่านั้นมีเงินเดือนสูง โกงรัฐมากมาย มีสวัสดิการดีเยี่ยม ไม่เชื่อเข้าไปสอบดู จะเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลมากมายในรัฐวิสาหกิจเหล่านั้น
ที่
Tuesday, September 02, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
01 September 2008

ชัดเจน ... ไม่ต้องพิสูจน์
พรรคเก่าแก่ ปฏิเสธมาตลอดว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธมาร(พันธมิตร) แม้จะมี สส.ของพรรคไปเป็นแกนนำ ร่วมกับพันธมาร ก็บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรค แต่แป้ะลิ้ม ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศว่า หากล้มรัฐบาลได้จะให้พรรคเก่าแก่จัดตั้งรัฐบาล แบไต๋แบบไม่เกรงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเลยนะ ไหนบอกว่ายึดหลักประชาธิปไตย ยึดระบอบรัฐสภา ถ้ายึดจริงตามกล่าวอ้าง ต้องรีบปฏิเสธพันธมารทันที จะเตือนพรรคเก่าแก่ด้วยความหวังดี ปัญหาการเมือง ต้องแก้ด้วยการเมืองในระบอบรัฐสภา และอย่าดูถูกประชาชน เห็นประชาธิปไตย แค่กาบัตรเลือกตั้งเท่านั้น ประชาขชนเขากินข้าวนะครับ เขาสามารถวิเคราะห์ได้ว่าอะไรถูกไม่ถูก อีกอย่างหนึ่ง พันธมาร เขาทำเพื่อตัวเขาเอง ไม่ใช่ทำเพื่อพรรคเก่าแก่หรอกนะ ก็เขาล้มรัฐบาลได้ เขาก็จะจัดตั้งรัฐบาลเอง เป็นนายกเอง ไม่เชื่อคอยดูต่อไปอีกอย่างการต่อต้านรัฐบาลขยายไปสู่ภูมิภาคโดยเฉพาะภาคใต้เป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคเก่าแก่คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ทางที่ดี ส่งสัญญาณให้ยุติการต่อต้านเถอะครับ เห็นแก่ชาติบ้านเมืองบ้าง อย่าให้ประเทศชาติบอบช้ำมากไปกว่านี้เลยนะครับ
ที่
Monday, September 01, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
31 August 2008

อย่าเป็นนักฉวยโอกาส
นักวิชาการหนึ่ง นักสิทธิมนุษยชนหนึ่ง สส.ฝ่ายค้านหนึ่ง และกลุ่มคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล อย่าทำตัวเป็นนักฉวยโอกาส วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของศาลตำรวจ และรัฐบาลที่ปลายเหตุ เห็นการแก้ปัญหารัฐบาล กรณีพันธมารดื้อแพ่ง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล ทำไมไม่มองที่ต้นเหตุ หรือพันธมารทำตัวดื้อตาใส ทำเป็นอารยขัดขืน ใช้ได้ที่ไหน ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเป็นเยี่ยงอย่างที่ใช้ไม่ได้ ถ้าทุกคนเอาเยี่ยงอย่างเลว ๆ นี้ จะมีไว้ทำไมศาล ไม่กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนหรือไร เมือศาลออกหมายจับ ก็น่าจะมีการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไปพิสูจน์ความจริงที่ศาล ไม่ใช่ทำเหยง ๆ ให้มาจับ โดยมีเกราะกำบังเป็นผู้หญิง คนแก่ และเด็ก น่าละอายที่สุด หลบภัยอยู่ใต้ผ้าถุงผู้หญิง ใต้ผ้าถุงผู้หญิงเป็นที่อาศัยเกิด เมื่อเติบใหญ่ ต้องช่วยกันป้องกันภัยมิใช่หรือกรณีศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราว ที่พันธมารยึดทำเนีบอยู่ก็เช่นกัน ศาลสั่งให้ออกจากทำเนียบ รื้อสิ่งกีดขวาง ก็ไม่ปฏิบัติตาม พอมีคำสั่งบังคับคดี ตำรวจปฏิบัติตามคำสั่งศาลก็หาว่าใช้ความรุนแรง เป็นคนหรือเปล่า ถ้าเป็นคนต้องปฏิบัติตาม แต่นี่คือ แข็งไม่ปฏิบัติตาม ก็ต้องบังคับให้ออกไป เท่านั้นและนักฉวยโอกาส ท่านออกมาประนามการกระทำของเจ้าหน้าที่อย่างสาดเสียเทเสียเหมือนว่า พันธมารเป็นเทวดา เป็นคุณพ่อของพวกคุณอย่างนั้นแหละ สงสัยจะเป็นคุณพ่อของพวกคุณจริง ๆ กระมัง จึงออกมาปกป้องใช่หรือไม่ท่านนักฉวยโอกาสทั้งหลายเตือนไว้นิดหนึ่ง ว่าศาลเป็นตัวแทนของใคร ...
ที่
Sunday, August 31, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
26 August 2008

ให้โอกาสมากเกินไปหรือเปล่า

รัฐบาลให้โอกาสมากเกินไปหรือเปล่าสำหรับพันธมาร พาชาติล่มจม การเป่านกหวีดวันนี้ถือเป็นวาระสุดท้ายกระมัง เพราะทำเกินไปที่ประชาชนส่วนใหญ่ยอมรับได้ สะใจสำหรับพันธมารแค่หยิบเดียว คนกลุ่มนี้ทำให้ประเทศเสียหายย่อยยับเกินให้อภัย จัดการกับ 5 คนแค่นี้ก็พอแล้ว (ลิ่วล้อปล่อยไปเถิดแล้วจะสำนึกว่าหลงผิด) หากเพราะเป็นความผิดซึ่งหน้าใช้กฎหมายจัดการเสียก็สิ้นเรื่อง
อีกกลุ่มหนึ่งสมควรจัดการด้วย คือ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังให้การสนับสนุนการชุมนุม เพราะคนกลุ่มนี้ต้องการอำนาจ แต่ไม่ยอมเข้าสู่อำนาจตามกฎกติการ ต้องการอำนาจทางลัด โดยยืมมือกลุ่มพันธมาร กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังนี้ต้องจัดการอย่างเด็ดขาดเพื่อไม่ให้เหิมเกริมอีกต่อไป ให้กำลังใจรัฐบาลจัดการให้เด็ดขาด ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพร้อมยืนอยู่เคียงข้างรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จัดการเถิดท่านนายก ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพร้อมจัดแซ่ซ้องสรรเสริญท่านตลอดไป
ที่
Tuesday, August 26, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
19 July 2008

สื่อบางสำนักกับพันธมิตร ยุติเถอะ
สื่อบางสำนักกับพันธมิตร ยุติการเสี้ยมข้อมูลเชิงลบ สร้างความสับสนให้กับประชาชนเสียเถอะ เพราะผลงานของพวกคุณกำลังทำลายประเทศไทยอย่างเหี้ยมโหด อำมหิต ผลงานของพวกคุณสรุปได้ดังนี้1. สร้างความตึงเครียง ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาด้านเขาพระวิหาร หากเกิดการสู้รบขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ พวกคุณรับผิดชอบหรือไม่ คำตอบคื "ไม่" เพราะบรรลุเป้าประสงค์ของคุณแล้ว พวกคุณจะโยนความผิดให้รัฐบาลทันทีใช่หรือไม่ การรบต้องมีการสูญเสียทั้งสองฝ่าย คำเสียใจจากพวกคุณคงไม่มี เพราะผู้กล้าเหล่านั้นไม่ใช่โคตะระของพวกคุณจริงมะ โหดเหี้ยม อำมหิตจริง ๆ2. การประกาศ "หยุดยิง" ขององค์กรใต้ดิน จะจริงหรือไม่จริง 30 วันรอไม่ได้ สื่อบางสำนักออกมาโจมตีว่า "ปาหี่" คุณเห็นหรือยัง ประชาชนเขาสับสนแค่ไหนในขณะนี้ คำถามเกิดขึ้นมากมาย เช่น ของจริงหรือของปลอมบ้างล่ะ สร้างภาพสร้างผลงานหรือผลทางการเมืองหรือเปล่า พวกคุณประเภทมือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำ ที่พวกคุณว่าเป็นเรื่อง "ตลก" "ปาหี่" แสดงว่าพวกคุณรู้ของจริงเป็นใครใช่หรือไม่ ยุติเสียเถอะคนเขาทำงานหวังดีต่อประเทศชาติ เขาเสียกำลังใจ ท่านก็บอกแล้วไง ภายใน 30 วันไม่ดีขึ้น ท่านรับผิดชอบเอง แบบชายชาติทหาร ไม่เหมือนพวกคุณเสนอข่าวผิดพลาด คำขอโทษแทบไม่มี พวกคุณมันโหดร้าย อำมหิตจริง ๆ นะ
ที่
Saturday, July 19, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
17 July 2008

6 มาตรการ 6 เดือน แสลงใจฝ่ายแค้น
พรรคเก่าแก่กะโหลกกะลา แสลงใจอย่างสุดซึ้งกับมาตรการดังกล่าวของรัฐบาล เพราะเป็นมาตรการเพื่อชนรากหญ้าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง โจมตีว่าเป็นมาตรการหาเสียงของรัฐบาล เห็นหรือยังพี่น้อง เขาคิดได้แค่นี้จริง ๆ เพราะพรรคเก่าแก่เขาเป็นพรรคอำมาตยาธิปไตย และชนชั้นสูง เขามองไม่เห็นหัวประชาชนชาวรากหญ้าอย่างพวกเราดอก จำใส่ใจไว้เลือกตั้งสมัยหน้าช่วยกันอย่าให้พรรคเก่าแก่นี้ได้ผุดได้เกิด ให้เป็นฝ่านค้าน / ฝ่ายแค้าถาวรตลอดไปพรรคเก่าแก่นี้ชอบดูถูกชาวรากหญ้าอย่างพวกเรา หาว่าพวกเราโง่เหง้าเต่าตุ่น ถูกจูงจมูกง่าย ชื้อง่ายขายคล่อง เห็นแก่อามิสสินจ้าง แม้พวกเราปฏิเสธว่าไม่จริง เราชอบพลังประชาชนเพราะนโยบาย เป็นพวกเราชาวรากหญ้าจริง ๆ เขาก็ไม่เชื่อ ปล่อยเขาไปเถอะ ปล่อยให้โง่เหง้าเต่าตุ่น เป็นไม้เป็นมือของพวกอำมาตยาธิปไตยและพวกชนชั้นสูง ต่อไปอย่าได้มาข้องแวะกับพวกเราชาวรากหญ้าเลย จัดเป็นพระคุณยิ่ง
ที่
Thursday, July 17, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ:
09 July 2008

สี่รุมหนึ่ง ไหวหรือ ?
น่าเห็นใจพรรคพลังประชาชน ถูกรุมกินโต๊ะ จะไปรอดหรือนี่ ถ้าไปไม่รอดยุบสภาเถิด ล้างไพ่ใหม่เพื่อพิสูจน์ว่าประชาชนจะยังสนับสนุนต่อไปหรือไม่ สี่รุมหนึ่งดังนี้
พลังประชาชน VS. ฝ่ายค้านและพันธมิตร
พลังประชาชน VS. สว.สรรหา
พลังประชาชน VS. อมาตยาธิปไตย / มือที่มองไม่เห็น
พลังประชาชน VS. สื่อบางสำนักสี่ฝ่ายประสานเสียงเพื่อล้มพลังประชาชน แต่กรวุฒิยังเชื่อในนายกสมัคร จะสามารถแก้เกมได้ นายกมั่นใจเถิดครับ พรรคร่วมรัฐบาลไม่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวแน่เพราะพรรคชาติไทย , พรรคมัชชิมมา และพรรคเพื่อแผ่นดินต่างโดนใบแดงเช่นกัน อาจถูกยุบพรรคเหมือนกัน จะถูกยุบพรรคหรือไม่ถูกยุบพรรค ทั้งสี่พรรคชะตาเดียวกัน ถ้ามีพรรคไหนรอดจากถูกยุบพรรค ดีเหมือนกันจะได้ทราบมาตรฐานศาลรัฐธรรมนูญ ดั่งเช่นตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย แต่พรรคประชาธิปปัตย์ไม่ถูกยุบ จับตามองห้ามกระพริบตาเด็ดขาด
ที่
Wednesday, July 09, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: , ,
07 July 2008

ดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อเป็นนายก
เลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคเก่าแก่มีตัวช่วยเต็มพิกัดแต่พ่ายแพ้หมดรูป ดังนั้นเลือกตั้งในวันข้างหน้ามองไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมง ความหวังริบหรี่เต็มที
พฤติกรรมปัจจุบันของพรรคเก่าแก่ ชาวบ้านรู้เช่นเห็นชาติหมดแล้ว ไม่มีโอกาสชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล คงเป็นฝ่ายค้านถาวร
นอกจากนี้พฤติกรรมของสมาชิกพรรคชอบปลุกระดมกระแสภาคนิยมเป็นตัวเร่งซ้ำเติมพรรคให้พ่ายแพ้อย่างถาวร ในการเลือกตั้งครั้งต่อๆ ไป
นโยบายของพรรคไม่โดนใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เพราะจับต้องไม่ได้ ไม่เหมือนนโยบายพรรคพลังประชาชน
เหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้พรรคการเมืองเก่าแก่กระทำทุกวิถีทางเพื่อล้มรัฐบาลให้ได้ แม้กระทั่งร่วมกับพันธมิตร อันธพาลข้างถนนขับไล่รัฐบาลเสียงข้างมากจากฉันทานุมัต ของประชาชน ยอมทิ้งหลักการในระบอบประชาธิปไตย เป็นการวิ่งเฮือกสุดท้ายเพื่อผลักดันมารค์ม. 7 เป็นนายกให้ได้จริงมะ
ที่
Monday, July 07, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ:
06 July 2008

ข้อมูลสองด้าน ประชาธิปัตย์กลัวอะไร
ประชาชนรับข้อมูลด้านเดียวมาตลอดร่วม สองปี จาก ASTV เปรียบเหมือนดังสถานีวิทยุเสียงปักกิ่งสมัยสงครามเย็น ซึ่งโจมตีรัฐบาลไทยตลอด 24 ชม. ถ้าจำไม่ผิดจะได้ยินประจำว่า "ที่นี่เสียงจากปักกิ่ง" ประชาชนรับข้อมูลด้านเดียวจากการโฆษณาชวนเชื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ เปรียบเหมือนกับ ASTV ที่ประชาชนรับข้อมูลด้านเดียว ขอบคุณวีระ มุสิกะพงศ์ กับพวกจะเปิด PTV เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารกับประชาชนบ้างเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลสองด้าน ประชาธิปัตย์ประสานเสียงคัดค้านทันที โดยกล่าวว่าจะยิ่งทำให้ประชาชนแตกแยกมากยิ่งขึ้น มันน่าทุเรศไหมครับท่านผู้ชม รู้ทั้งรู้ว่าพรรคของท่านป้อนข้อมูลให้ ASTV โจมตีรัฐบาลตลอดเวลา หนำซ้ำส่งสมาชิกร่วมกับพันธมิตรโจมตีรัฐบาลอย่างเปิดเผย ประชาชนเขารู้เช่นเห็นชาติหมดแล้วสำหรับพรรคนี้ ถ้าจะกล่าวว่าเป็นพรรคเจ้าของลัทธิภาคนิยม คงไม่ผิด ถ้ายังไม่เลิกแนวคิดคงเป็นฝ่ายค้านตลอดไปจริงมะ
ที่
Sunday, July 06, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ:
04 July 2008

แค่คิดก็ผิดแล้ว .. เตรียมล้างคุกไว้รอ
การเมืองใหม่ที่นำเสนอโดยบักใส กับห้าพันธมิตร คือ สรรหา 70 เลือกตั้ง 30 น่าจะเป็นการสร้างกระแสหาแนวร่วมใหม่ใช่หรือไม่ คงเป็นไปได้ยากเพราะไม่ทราบว่ามันเป็นประชาธิปไตยตรงไหน เอาสมองส่วนไหนคิด ระวังนะอาจจะเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แหกตาอ่านรัฐธรรมนูญหน่อยเถิด มาตรา 3 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระกษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา ขณะรัฐมนตรี และศาลตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ นี่แสดงว่าต้องเลือกตั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่วนที่สิบสามสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ มาตรา 68 และ 69 แหกตาดูเช่นกัน สองมาตรานี้กำหนดบทลงโทษไว้ด้วยเป็นคดีอาญา กรวุฒิถึงบอกให้เตรียมล้างคุกรอได้เลยวันจันทร์ที่ 7 ก.ค. 51 เข้าใจว่าคุกคงล้างไว้รอแล้วเช่นกัน เพราะละเมิดอำนาจศาล ศาลสั่งให้เปิดการจราจร และงดใช้เครื่องขยายเสียง เวลา 0730 - 1630 วันจันทร์ถึงวันศุกร์ คำว่"าและ" กับ "หรือ" ยังแยกแยะไม่ได้ ก็ต้อง คุก คุก คุก ลุกเดียวจริงม้า
ที่
Friday, July 04, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
30 June 2008

แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง แต่ ... ไร้จิตสำนึก
กรวุฒิเคยบอกว่าไม่ต้องทำอะไรพันธมิตร ตอบประชาชน ข้าราชการ อาจารย์ นักเรียน นักศึกษา จะขับไล่เองเพราะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชุมนุมของพันธมิตร ศาลท่านเมตตาเยาวชนของชาติจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว แต่พันธมิตรยังไร้จิตสำนึกแทนที่จะรีบน้อมรับคำสั่งศาลคุ้มครองชั่วคราว ก็ส่งทีมทนายขึ้นอุทธรณ์ เห็นหรือยังพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย ดื้อด้านจริง ๆ สำหรับท่อน้ำเลี้ยงทั้งหลายท่านคงไร้จิตสำนึกเช่นกัน แต่ถ้ายังเหลือบ้างเลิกสนับสนุนเสียเถิด ยังไม่สาย แต่ยังดื้อตาใสอยู่ มาพวกเราพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย จงมาร่วมมือร่วมใจบอยคอตท่อน้ำเลี้ยงเหล่านี้โดยไม่สนับสนุนสินค้า ตลอดจนธุรกรรมต่าง ๆ ของเขา ใครบ้างที่ให้การสนับสนุนพันธมิตร รายละเอียดหนังสือพิมพ์ประชาทัศน์ ฉบับวันจันทร์ที่ 30 มิ.ย. 51 หน้า 4 คอลัมน์ "สามเหลี่ยมดินแดง" โดยจงรักษ์ ภักดิราษฎร์ เมื่อทราบแล้วรีบดำเนินการตอบโต้ทันที ขอบคุณล่วงหน้าครับผม
ที่
Monday, June 30, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ:

ฝากถึงพันธมิตรประชาธิปัตย์
เล่นเรื่องเขาพระวิหารเลอะเทอะ ผลักพันธมิตรเป็นศัตรูทั้งหัวหงอกหัวดำ รู้ทั้งรู้อยู่เต็มอกว่าประสาทเขาพระวิหารเป็นของเขมร ตามคำตัดสินของศาลโลกปี 2505 เพราะเราเสียค่าโง่ให้ฝรั่งเศส ยุติเสียเถิดเห็นแก่ชาติบ้านเมือง แล้วระวังจะละเมิดศาลโลกเขานะ
ถ้าจะเรียกร้องเอาดินแดนคืน น่าจะเรียกร้องเอา กลันตรัง ตรังกานู ไทรบุรี และปลิศ จากมาเลเซียบ้าง เพราะเราสูญเสียให้อังกฤษโดยล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงยอมเสียดินแดนบางส่วน เพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่ไว้ คนไทยตกค้างอยู่ในรัฐต่าง ๆ ข้างต้นจำนวนมาก ดำรงชีวิตเหมือนคนไทยทุกประการ กรวุฒิเคยสัมผัสเขาเหล่านั้น เขากล่าวด้วยความน้อยใจว่า เขาเป็นคนไทย ทำไมรัฐบาลไทยทอดทิ้งพวกเขา ไม่เหลียวแลเลย ไม่เชื่อไปที่บ้านตาเซะ ตรงข้ามอำเภอเบตง จะพบชุมชนกลุ่มใหญ่ที่มีวิถีชีวิตแบบไทย ๆ ถ้าพันธมิตรประชาธิปัตย์ร่วมกันเรียกร้องคืนจากมาเลน่าจะสำเร็จ เพราะมีความถนัดปลุกกระแสรักชาติ ลองขยับดูสิครับ จะได้รับการสรรเสริญจากคนไทยทั้งประเทศแน่นอน
ที่
Monday, June 30, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: , ,
22 June 2008

เล่นการเมืองภาคประชาชน ... แล้วกัน
พรรคการเมืองเก่าแก่สนับสนุนการเมืองภาคประชาชนแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ จากการชี้แจงของเทพไท แสนพงษ์ ทางไทยทีวี เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มิ.ย. 51 หลังจากพันธมิตรปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลได้สำเร็จและประกาศชัยชนะ (จอมปลอม) คุณสุทิน คลังแสง (ถ้าผิดขออภัย) ฝากคุณเทพไท ช่วยบอกให้สมาชิกพรรคให้มาเล่นการเมือง ตามระบอบรัฐสภา และอย่าไปเกณฑ์คนมาร่วมชุมนุมซึ่งจะเห็นว่ามีการชูป้ายพันธมิตร ภาคกลางจังหวัดต่าง ๆ พันธมิตรภาคใต้จังหวัดต่าง ๆ พันธมิตรภาคตะวันออกจังหวัดต่าง ๆ เป็นต้น พันธมิตรต่างจังหวัดเหล่านี้พรรคเก่าแก่เกณฑ์มา คุณเทพไท ตอบว่าสมัยพฤษภาทมิฬมีพรรคการเมืองต่าง ๆ ร่วมชุมนุมอาทิ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม (ของมหา 5 ขัน) พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น การกล่าวอ้างเช่นนี้ เป็นการยอมรับโดยดุษฎีว่าร่วมมือกับพันธมิตรล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ระวังจะผิดรัฐธรรมนูญนะครับ ถ้าไม่อยากเล่นการเมืองตามระบอบรัฐสภา จงเล่นการเมืองภาคประชาชน ร่วมกับพันธมิตรต่อไปเทอญ เชิญตามสบาย จะได้เป็นฝ่ายค้านถาวรตลอดไป
ที่
Sunday, June 22, 2008 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ,
21 June 2008

นายกต้องอดทน
การที่พันธมิตรประกาศชัยชนะยึดทำเนียบรัฐบาลได้ … ปล่อยไปเถอะครับ ครม. ไม่จำเป็นต้องนั่งทำงานหรือประชุมหรือประชุมที่ทำเนียบอยู่แล้ว ใช้ ครม. สัญจรน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าเพราะได้สัมผัสประชาชน สัมผัสพื้นที่และรู้ปัญหาโดยตรง ปล่อยให้พันธมิตรยึดไป จะทำลายภาพพจน์ของประเทศไทยและจะหมดความชอบธรรมเอง ท่านนายกจำได้ไหมครับ ตอนนโปเลียน โบนาปาร์ต กรีฑาทัพยึดกรุงมอสโกของรัสเซีย ยึดได้แต่เมืองร้าง หามีคนไม่ ทนอากาศหนาวไม่ไหว ถอนทัพกลับ โดนโจมตีตลบหลังแพ้ยับเยิน พันธมิตรเช่นกัน ปล่อยให้ยึดไป ท่อน้ำเลี้ยงล่อยหลอก็เลิกไปเอง เมื่อนั้นค่อยตลบหลังขังคุกเลย ! รัฐบาลมีหน้าที่พัฒนา และแก้ไขปัญหาของประเทศ ถ้าทำได้รับรองครับ ประชาชนส่วนใหญ่จะชื่นชมและปรบมือให้ท่านแน่นอน อย่าใส่ใจพันธมิตร ประชาชนที่เขาจัดตั้งแค่หยิบมือเดียวยิ่งชุมนุมนานเท่าไหร่ นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และประชาชนบริเวณนั้นเดือดร้อน เขาจะช่วยกันร้องเรียนและขับไล่เอง เชื่อผมเถอะครับ ท่านนายกต้องอดทนมาก ๆ เพื่อความชอบธรรมของระบอบประชาธิปไตย อย่าให้พวกแก๊งข้างถนนสี่ห้าคนมาเป็นอุปสรรคเลยครับกระผม นายกสู้ ๆ นายกอดทน นายกสู้ ๆ นายกอดทน

The Palin Choice and the Reality of the Political Mind

Stream of Consciousness
peace, privacy and political reform with an eye on freedom, liberty, education, and community
«
Google’s Friend Connect vs. Your Privacy
The Palin Choice and the Reality of the Political Mind
A fellow alumnus of mine, George Lakoff argues that the Republican choice of Palin makes total sense if you truly understand the strategy of the Republicans in this election.
Found on http://mamasforobama.net/democrats-and-reality-political-mind
The Palin Choice and the Reality of the Political Mindby George Lakoff
This election matters because of realities-the realities of global warming, the economy, the Middle East, nuclear proliferation, civil liberties, species extinction, poverty here and around the world, and on and on. Such realities are what make this election so very crucial, and how to deal with them is the substance of the Democratic platform (
PDF).
Election campaigns matter because who gets elected can change reality. But election campaigns are primarily about the realities of voters’ minds, which depend on how the candidates and the external realities are cognitively framed. They can be framed honestly or deceptively, effectively or clumsily. And they are always framed from the perspective of a worldview.
The Obama campaign has learned this. The Republicans have long known it, and the choice of Sarah Palin as their Vice-Presidential candidate reflects their expert understanding of the political mind and political marketing. Democrats who simply belittle the Palin choice are courting disaster. It must be t aken with the utmost seriousness.
The Democratic responses so far reflect external realities: she is inexperienced, knowing little or nothing about foreign policy or national issues; she is really an anti-feminist, wanting the government to enter women’s lives to block abortion, but not wanting the government to guarantee equal pay for equal work, or provide adequate child health coverage, or child care, or early childhood education; she shills for the oil and gas industry on drilling; she denies the scientific truths of global warming and evolution; she misuses her political authority; she opposes sex education and her daughter is pregnant; and, rather than being a maverick, she is on the whole a radical right-wing ideologue.
All true, so far as we can tell.
But such truths may nonetheless be largely irrelevant to this campaign. That is the lesson Democrats must learn. They must learn the reality of the political mind.
The Obama campaign has done this very well so far. The convention events and speeches were orchestrated both to cast light on external realities, traditional political themes, and to focus on values at once classically American and progressive: empathy, responsibility both for oneself and others, and aspiration to make things better both for oneself and the world. Obama did all this masterfully in his nomination speech, while replying to, and undercutting, the main Republican attacks.
But the Palin nomination changes the game. The initial response has been to try to keep the focus on external realities, the “issues,” and differences on the issues. But the Palin nomination is not basically about external realities and what Democrats call “issues,” but about the symbolic mechanisms of the political mind-the worldviews, frames, metaphors, cultural narratives, and stereotypes. The Republicans can’t win on realities. Her job is to speak the language of conservatism, activate the conservative view of the world, and use the advantages that conservatives have in dominating political discourse.
Our national political dialogue is fundamentally metaphorical, with family values at the center of our discourse. There is a reason why Obama and Biden spoke so much about the family, the nurturant family, with caring fathers and the family values that Obama put front and center in his Father’s day speech: empathy, responsibility and aspiration. Obama’s reference in the nomination speech to “The American Family” was hardly accidental, nor were the references to the Obama and Biden families as living and fulfilling the American Dream. Real nurturance requires strength and toughness, which Obama displayed in body language and voice in his responses to McCain. The strength of the Obama campaign has been the seamless marriage of reality and symbolic thought.
The Republican strength has been mostly symbolic. The McCain campaign is well aware of how Reagan and W won-running on character: values, communicatio n, (apparent) authenticity, trust, and identity - not issues and policies. That is how campaigns work, and symbolism is central.
Conservative family values are strict and apply via metaphorical thought to the nation: good vs. evil, authority, the use of force, toughness and discipline, individual (versus social) responsibility, and tough love. Hence, social programs are immoral because they violate discipline and individual responsibility. Guns and the military show force and discipline. Man is above nature; hence no serious environmentalism. The market is the ultimate financial authority, requiring market discipline. In foreign policy, strength is use of the force. In fundamentalist religion, the Bible is the ultimate authority; hence no gay marriage. Such values are at the heart of radical conservatism. This is how John McCain was raised and how he plans to govern. And it is what he shares with Sarah Palin.
Palin is the mom in the strict father family, upholding conservative values. Palin is tough: she shoots, skins, and eats caribou. She is disciplined: raising five kids with a major career. She lives her values: she has a Downs-syndrome baby that she refused to abort. She has the image of the ideal conservative mom: pretty, perky, feminine, Bible-toting, and fitting into the ideal conservative family. And she fits the stereotype of America as small-town America. It is Reagan’s morning-in-America image. Where Obama thought of capturing the West, she is running for Sweetheart of the West.
And Palin, a member of Feminists For Life, is at the heart of the conservative feminist movement, which Ronee Schreiber has written about in her recent book, Righting Feminism. It is a powerful and growing movement that Democrats have barely paid attention to.
At the same time, Palin is masterful at the Republican game of taking the Democrats’ language and reframing it-putting conservative frames to progressive words: Reform, prosperity, peace. She is also masterful at using the progressive narratives: she’s from the working class, working her way up from hockey mom and the PTA to Mayor, Governor, and VP candidate. Her husband is a union member. She can say to the conservative populists that she is one of them-all the things that Obama and Biden have been saying. Bottom-up, not top-down.
Yes, the McCain-Palin ticket is weak on the major realities. But it is strong on the symbolic dimension of politics that Republicans are so good at marketing. Just arguing the realities, the issues, the hard truths should be enough in times this bad, but the political mind and its response to symbolism cannot be ignored. The initial Democratic response to Palin - the response based on realities alone - indicates that many Democrats have not learned the lessons of the Reagan and Bush years.
They have not learned the nature of conservative populism. A great many working-class folks are what I call “bi-conceptual,” that is, they are split between conservative and progressive modes of thought. Conservative on patriotism and certain social and family issues, which they have been led to see as “moral”, progressive in loving the land, living in communities of care, and practical kitchen table issues like mortgages, health care, wages, retirement, and so on.
Conservative theorists won them over in two ways: Inventing and promulgating the idea of “liberal elite” and focusing campaigns on social and family issues. They have been doing this for many years and have changed a lot of brains through repetition. Palin will appeal strongly to conservative populists, attacking Obama and Biden as pointy-headed, tax-and-spend, latte liberals. The tactic is to divert attention from difficult realities to powerful symbolism.
What Democrats have shied away from is a frontal attack on radical conservatism itself as an un-American and harmful ideology. I think Obama is right when he says that America is based on people caring about each other and working together for a better future-empathy, responsibility (both personal and social), and aspiration. These lead to a concept of government based on protection (environmental, consumer, worker, health care, and retirement protection) and empowerment (through infrastructure, public education, the banking system, the stock market, and the courts). Nobody can achieve the American Dream or live an American lifestyle without protection and empowerment by the government.20The alternative, as Obama said in his nomination speech, is being on your own, with no one caring for anybody else, with force as a first resort in foreign affairs, with threatened civil liberties and a right-wing government making your most important decisions for you. That is not what American democracy has ever been about.
What is at stake in this election are our ideals and our view of the future, as well as current realities. The Palin choice brings both front and center. Democrats, being Democrats, will mostly talk about the realities nonstop without paying attention to the dimensions of values and symbolism. Democrats, in addition, need to call an extremist an extremist: to shine a light on the shared anti-democratic ideology of McCain and Palin, the same ideology shared by Bush and Cheney. They share values antithetical to our democracy. That needs to be said loud and clear, if not by the Obama campaign itself, then by the rest of us who share democratic American values.
Our job is to bring external realities together with the reality of the political mind. Don’t ignore the cognitive dimension. It is through cultural narratives, metaphors, and frames that we understand and express our ideals.
George Lakoff is the author of The Political Mind: Why You Can’t Understand 20th Century Politics With an 18th Century Brain
This entry was posted on Saturday, September 6th, 2008 at 8:51 pm and is filed under
Politics. You can follow any responses to this entry through the RSS 2.0 feed. You can leave a response, or trackback from your own site.

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

Careful Story


I want to tell everybody, my careful story.One day on the road,Iwas driving moterbrike on the road whil I will turn to conner have thechildren runing follow a football so fase, I breke too close and tumble even tually. I'm get a hurt and moterbrike is broken.


I think we must be careful at all times because an accident can happen any time.Do you have any ideas.

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

ANT-GOVT PROTESTS

ANTI-GOVT PROTESTSIt's the tyranny of a PAD-led
minorityTHITINAN PONGSUDHIRAK
Monday September 01, 2008 Over the past three years, Thai politics has degenerated from the tyranny of a majority under former prime minister Thaksin Shinawatra to that of a minority led by the People's Alliance for Democracy (PAD).
Prior to the military coup in September 2006, Mr Thaksin exploited his Thai Rak Thai party's electoral successes to abuse power and monopolise political outcomes, reaping rents and rewards for businesses of his family and associates and lining pockets of his cronies. But now his erstwhile opponents have abused their unelected power from a different direction, holding the entire country hostage to their demands and revealing their distrust and disdain for the majority of the electorate.
The ongoing political crisis took a turn for the worst on August 26 when PAD demonstrators moved from their regular street protests to arbitrarily take over a state TV station, several ministries and Government House. They resorted to physical force by breaching and tearing down the fences and walls of these state agencies, and have since encamped at Government House. These unlawful efforts were an unprecedented provocation.
In other civilised countries, such a provocation and occupation of the seat of government would have been met with a swift and complete enforcement of the law to regain the state properties. Instead, the PAD's revolting rampage has been met with tamed official responses. Even at Makkhawan Bridge in an old and historic area of Bangkok where altercations between the authorities and protesters ensued following a police attempt to dismantle the three-months-old protest site, injuries were limited. More protesters were injured when they marched and confronted police at the gates of the Metropolitan Police Bureau. Stationed inside the gates with the PAD crowds massing outside, the police reportedly deployed several tear gas canisters.
The adverse public reactions to the authorities over these scuffles are understandable. State-perpetrated violence against the people is deeply etched in the Thai psyche, imprinted by the military's gruesome suppression of university students in October 1976 and middle-class demonstrators in May 1992. Prime Minister Samak Sundaravej's role in the October 1976 suppression also constrains him from being seen as trigger-happy. As a result, Mr Samak has allowed the PAD to rule the streets and illegally occupy Government House.
In addition, as the PAD bullies its way in a unilateral and anti-democratic effort to bring closure on the Samak government, its many sceptics and critics are cowed into silence. Dissent against the PAD brings personal attacks and character assassinations.
Yet this is the time for those myriad Thais _ the silent majority _ who never liked Mr Thaksin then and despise Mr Samak now _ to come out and condemn the PAD's blatant hijacking of Thailand's democratic system. They lack the PAD's voice, vehicle and organisation, but they must find a way to speak out. The white ribbon campaign, initiated by Thammasat University law professors, should be revived for those who are no fans of Mr Samak and his government but who oppose the PAD's methods and intentions. Other campaigns to give voice to the columns of people sandwiched between the PAD and the Samak government should also be considered and tried.
As fledging and fragile as it is, Thailand's democratic system is still in operation. It staged a general election just eight months ago. The voices of people who spoke at the polling booths then should still be respected. Moreover, these voices are now reinforced by a restoration of institutional checks and balances after the coup. Even the PAD leaders have not doubted the current integrity of the independent agencies such as the Election Commission, National Counter Corruption Commission and Constitution Court. Nor has anyone disputed the rulings of the Supreme Court and Criminal Court, which have taken Mr Thaksin to task and issued a conviction and three-year jail sentence on his wife. Mr Thaksin and his wife even had to flee from the law by their exile in England. This judicial process and its several critical verdicts to come on Mr Samak's conflicts of interest and the ruling People Power party's dissolution, among other cases involving government officials, should be respected and allowed to run their course.
But the PAD knows that in the end the majority of the electorate is likely to opt for a party with Thai Rak Thai and PPP's winning policy platform. As a result, it has nakedly revealed its hand. The PAD wants to bring Thai politics back to a bygone era of appointed representatives, of keeping Mr Thaksin, Mr Samak, Thai Rak Thai and PPP out of power for good through its own seizure of power.
The forces in cahoots with the PAD are now conspicuous. The Democrat party, which has lost the elections time and again and is still unable and unwilling to focus on appealing policies, has never categorically rejected the PAD methods and objectives. Leading Democrats have visited the PAD at Government House, and a Democrat MP has been a PAD organiser from the outset.
Democrat party canvassers and their networks are reportedly involved in the closure of Phuket and Krabi airports. If this is untrue, it is imperative on the Democrats' leadership to categorically deny their members' handiwork in the unrest in the southern provinces, their electoral stronghold.
Mr Samak now faces dire choices. The PAD leaders have staked their movement exclusively on Mr Samak's resignation. Caught between a rock and a hard place, Mr Samak cannot crack down on the illegal occupants of Government House for fear of what is perceived as his past sins and the potential for a broad-based confrontation and violence. But allowing the PAD's rampage to settle in makes the prime minister look lame duck and ineffectual.
The bicameral legislative meeting yesterday was a good way forward but unlikely to resolve the crisis. As Mr Samak's position becomes more untenable, his resignation and the PAD's blackmailed success would be an event of infamy in Thai political annals, a huge setback for Thai democracy. Even those who abhor Mr Samak but who want to see Thailand's longer-term political maturation would have to root for him to weather this round of PAD-instigated maelstrom.
The writer is Director of the Institute of Security and International Studies, Faculty of Political Science, Chulalongkorn University .( http://www.bangkokpost.com/010908_News/01Sep2008_news20.php )
Interesting word
  • tyranny การปกครองแบบเผด็จการ
  • minority สมาชิกรัฐสภาที่มีเสียงข้างน้อย
  • majority คะแนนเสียงข้างมาก
  • Democracy ประชาธิปไตย
  • erstwhile ขณะที่เหมือนกัน
  • opponent ฝ่ายตรงกันข้าม
  • demonstrators ผู้เดินขบวน
  • arbitrarily ไร้เหตุผล
  • provocation การปลุกระดม
  • closure ยุติ
  • sandwich สอดแทรก,กระตุ้น

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

The globle wromming

On World Environment Day, we organised an awareness compaing about things we can do to improve the environ ment such as riding blicycles, recycling and using coton bags. The world is currently suffering from climate chang.

In presetn you can see more locality is attention to The globle wromming, Had many group battle to this status for the environment is the better than. One agnin we use the anything from the recycle and instead of the nature or habitual.You shoud take to easy this One, you can take on the bicycle instead ride moterbike or drive a car. Two,right now a biodesel and gass soho is easy to buy.Three use the coton bags instead plastic,Four ture off swith light and aircondition every time when do not use.

In my opinion is a good but people think same me and helps save anything to day. Is good several ways. I think if we shake hands and contemplate a lof and we should give more and take to make our society and world able a better than. What do you think? Please comment to me opinin on my blogger.Thank a lot.