วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

KHAO PHANSA DAY

Celebrated in the eighth lunar month (July), khao Phansa marks the beginning of the Buddhist "rain retreat" and the Buddhist Lent, or "Phansa". It is the time when meditation. Buddhist Lent continues for a period of three months and is considered an auspicious time for ofdination. Laypeople also prrticipate enthusiasticlly in this festival and offer food and other ites of dily use to monks, especially candles, lanterns and lamp oil as these are supposed to illminate monks both spiritually and physically.

During these three months, monks cannot spend the night outside the ares they have taken for their rainy season residence. If they have to go out, they make sure to return before dawn of the following day. However, there are exceptions to this rule by which a monk is allowed to spend the night elsewhere; for instance, if his parents are seriously ill, or if he is required for some urgent religious work at a place too far away to return in one day. This practice has been preserved to the present day, and Buddhists consider this period exceptionally sacred.

Activties
  • During the Buddha's lifetime, the world was not lit by electricity. The only source of light at nighttime was cndles. The tradtion of offering Phansa cnadles has continued to the present. Beautiful and ornate cnadles of all shapes and sizes and made out of beeswax are donated to the temples. Besides serving the practical purpose of lighting the temple and the monks sleeping area, the candles are also symbolic: they represent not only an illuminated room but also an illuminated mind.
  • Many Thai men become monks before the rain retreat as it offers three full months to study the Dharma.
  • One of the greatest and most beautiful Thian Phansa pfrades is held at Ubon Ratchathani Province. This event is one of the most popular events in Thailand and attracts many tourists. Fabulous candles are pareded around the town on colourful floats-- accompanied by displays of religious devotion -- before being illuminated mind

Activities in Thai schools

Many schools in Thailand organise activities for Khao Phansa. Students parrticipate in a Phansa candle parade to their local temple and make offerings. Candles are decorated with ornately decorated flowers.

NEW WORDS

  • overlook : v ละเลย,ไม่เล่าใจใส่
  • immersing : gerund การเข้าไปมีส่วนร่วมหรือเกี่ยวข้อง
  • ascetics : n ผู้บำเพ็ญตบะ
  • doctrine : n คำสอนทางศาสนา
  • laypeople : n อุบาสก,อุบาสิกา
  • ornately : adv. อย่างหรูหรา







วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551


วันนี้ฝนตก พรุ่งนี้ก็สอบ

วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Write on Blogger is easy or diffecult

This Blogger is easy to use when you want to record about someone or somethink .The purpose of study on software is up to date and you can write on your blogger.Besides you may get comment for people visite on your blogger is good voice becuase you able to make better than. Addition you must use often for expert.

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ปัญหาการเมืองไทย ณ วันนี้ ในสายตาเด็ก

เด็กกว่า 70% ยังเห็นว่า “การเมืองไทย ณ วันนี้” ยังไม่ดี!!!
ทุกวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคมของทุกปี จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของเด็กๆ นั้นก็คือ “วันเด็ก” “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จึงได้สำรวจความคิดเห็นของเด็กที่มีอายุไม่เกิน 15 ปีที่พักอาศัยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,080 คน (ชาย 417 คน 38.61% หญิง 663 คน 61.39%) โดยสำรวจระหว่างวันที่ 10 - 11 มกราคม 2549 สรุปผลได้ดังนี้

1. “อาชีพ” ที่เด็กอยากทำเมื่อโต
  1. อาชีพที่ “เด็กชาย” อยากทำเมื่อเติบโตขึ้น คืออันดับที่ 1ทหาร 35.42%เพราะ อยากช่วยชาติ,เป็นอาชีพที่มั่นคง,มีเกียรติยศ ชื่อเสียง,ได้ช่วยเหลือประชาชน ฯลฯ อันดับที่ 2 ตำรวจ18.75% เพราะ จะได้ช่วยจับคนร้ายให้หมดสิ้นไปในสังคมไทย, มีเกียรติยศ ชื่อเสียง ฯลฯ
    อันดับที่ 3 หมอ/แพทย์/พยาบาล 17.71% เพราะ จะได้ช่วยรักษาคนที่เจ็บป่วย,ช่วยเหลือคนจนที่ไม่มีเงินรักษา,จะได้รักษาพ่อ แม่ ยามเจ็บป่วย ฯลฯ อันดับที่ 4 วิศวกร 11.46% เพราะ เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี,ชอบคิด ชอบออกแบบ,ปัจจุบันยังมีคนทำอาชีพนี้น้อยอยู่ ฯลฯ อันดับที่ 5 นักแสดง/ดารา/นักร้อง 833% เพราะ ได้รู้จักคนมากมาย,รู้สึกมีความสุขกับอาชีพนี้,ชอบเป็นการส่วนตัว ฯลฯ อันดับที่ 5 โปรแกรมเมอร์/ช่างคอมพิวเตอร์ 8.33% เพราะ ชอบในเรื่องของเทคโนโลยี,รายได้ดี,ชอบเล่นคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ฯลฯ
  2. อาชีพที่ “เด็กหญิง” อยากทำเมื่อเติบตขึ้น คือ อันดับที่ 1 แพทย์/พยาบาล 59.31% เพราะ จะได้ช่วยรักษาคนที่เจ็บป่วย,ช่วยเหลือคนจนที่ไม่มีเงินรักษา,จะได้รักษาพ่อ แม่ ยามเจ็บป่วย ฯลฯ
    อันดับที่ 2 ครู / อาจารย์ 13.78% เพราะ อยากให้เด็กๆ มีความรู้,อยากให้ประเทศชาติเจริญ,อยากไปสอนเด็กตามต่างจังหวัด,เด็กมีความรู้จะได้ไม่ทำผิด ฯลฯ อันดับที่ 3 นักแสดง/ดารา/นักร้อง 11.74% เพราะ ได้รู้จักคนมากมาย,รู้สึกมีความสุขกับอาชีพนี้,ชอบเป็นการส่วนตัว ฯลฯ
    อันดับที่ 4 ตำรวจ 8.28% เพราะ อยากช่วยชาติ,เป็นอาชีพที่มั่นคง,มีเกียรติยศ ชื่อเสียง,ได้ช่วยเหลือประชาชน ฯลฯ อันดับที่ 5 แอร์โฮสเตส 6.89% เพราะ เป็นการฝึกพูดภาษาไปในตัว,อยากพูดภาษาเก่งๆ , ได้ไปเที่ยวหลายประเทศ ฯลฯ

2. ปัญหาของเมืองไทยที่ “เด็ก” คิดว่าควรเร่งแก้ไขมากที่สุด คือ
ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วิธีแก้ หาตัวผู้บงการให้ได้,จับตัวผู้ก่อการร้ายให้ได้มากที่สุด,ทุกๆ คนน่าจะร่วมมือกันดูแล ฯลฯ
ปัญหายาเสพติด วิธีแก้ ตำรวจเข้มงวด, ปราบปรามให้หมดสิ้น,ผู้ใหญ่ควรดูแลเอาใจใส่เด็ก ฯลฯ
ปัญหาการจราจร / ปัญหารถติด วิธีแก้ ทำทางด่วน สร้างสะพานข้าม,มีตำรวจอยู่ตามสี่แยกไฟแดง,นั่งรถเมล์แทนรถส่วนตัว ฯลฯ
ปัญหาราคาน้ำมันแพง วิธีแก้ รัฐบาลลดราคาน้ำมัน,ช่วยกันประหยัดพลังงาน,ใช้รถให้น้อยลง ฯลฯ
ปัญหาเศรษฐกิจ/ความยากจน วิธีแก้ อยากให้คนรวยช่วยคนจน,หางานให้คนว่างงานทำจะได้มีรายได้,ใช้จ่ายอย่างประหยัด ฯลฯ

3. “การเมืองไทย” วันนี้ ดีหรือยัง ในสายตาของ “เด็ก”

อันดับที่ 1 ยังไม่ดี เพราะ ยังมีปัญหาคอรัปชั่น การทุจริตอยู่,การก่อการร้ายยังมีอยู่ตลอด,ปัญหาสังคมไทย ยังแก้ไขไม่ได้,ส.ส. มักจะทะเลาะกันเองฯลฯ
อันดับที่ 2 ดีแล้ว เพราะ มีการให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างดี,มีการแก้ปัญหาได้หลายอย่าง ฯลฯ

4. สมมุติว่าถ้า “เด็ก” เป็น “นายกทักษิณฯ” สิ่งที่อยากทำให้กับประเทศชาติ ณ วันนี้ คือ
อันดับที่ 1 แก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ / ทำให้ประเทศชาติสงบสุข
อันดับที่ 2 พัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า
อันดับที่ 3 แก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดสิ้น
อันดับที่ 4 ทำให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
อันดับที่ 5 กำจัดคนชั่ว โกงกินบ้านเมืองและคนที่ทำร้ายประเทศชาติ
* อื่นๆ เช่น อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงาน,ช่วยเหลือคนยากจน ฯลฯ

สวนดุสิตโพล

"Thai Politic should be developed"

บทความ :ระบบรัฐบาลเงาและข้อคิดบางประการ พรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัยอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ นอกจากข่าวคราวเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างนายสมัคร สุนทรเวช ถือว่าได้ระบบ “รัฐบาลเงา” ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำเสนอผ่านสื่อนั้นก็เรียกความสนใจจากประชาชนได้เป็นอย่างมากไม่แพ้กัน แต่อย่างไรก็ดี ระบบดังกล่าวอาจไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมักคุ้นเท่าใดนักในประเทศไทย ดังนั้น จึงเป็นการดี หากจะได้ทราบว่าระบบรัฐบาลเงานี้คืออะไรและมีไว้เพื่อการใด “รัฐบาลเงา” (The Shadow Cabinet หรือ The Shadow Front Bench) เป็นแนวความคิดทางการเมืองที่หลายประเทศได้นำเอาไปประยุกต์ใช้ในการเมืองของตน อาทิเช่น ประเทศต่างๆ ในเครือสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส แคนาดา นิวซีแลนด์ ฯลฯ เป็นต้น ระบบรัฐบาลเงานี้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน และในที่สุดแนวความคิดดังกล่าวได้เป็นที่ยอมรับนับถือและรู้จักกันของนานาประเทศในฐานะจารีตประเพณีทางการเมืองของประเทศอังกฤษในช่วงปี ค.ศ. 1880-1889 โดยส่วนใหญ่แล้วระบบรัฐบาลเงาจะใช้เพียงในกลุ่มประเทศที่มีระบบการเมืองแบบรัฐสภา (Parliamentary System) อาทิเช่น ประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นต้น ในทางตรงกันข้าม ในกลุ่มประเทศที่มีระบบการเมืองแบบประธานาธิบดี (Presidential System) เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกานั้นไม่มีระบบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากกล่าวถึงระบบรัฐบาลเงาโดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ระบบรัฐบาลเงากลับมีความหมายไปในทางลบ (bad connotation) ซึ่งหมายถึง กลุ่มบุคคลที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลที่กำลังดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินในขณะนั้นๆ ระบบรัฐบาลเงาเป็นมาตรการหนึ่งของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน (Opposition Parties) ที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดเพียงพรรคเดียวหรือ พรรคการเมืองฝ่ายค้านหลายพรรครวมกัน เพื่อใช้ดำเนินการตรวจสอบรัฐบาลที่แท้จริงด้วยการวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการแผ่นดินอันรวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ในนโยบายและกฎหมายต่างๆ ที่ออกโดยรัฐบาลที่แท้จริงนั้นด้วย นอกจากการการตรวจสอบข้างต้นแล้ว ในบางโอกาส รัฐบาลเงาอาจจะมีการเสนอแนะฝ่ายรัฐบาลที่แท้จริงโดยการออกนโยบายหรือกฎหมายทางเลือก (alternative policies or legislation) ที่ตนเองเห็นว่าเหมาะสมกับการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อให้รัฐบาลที่แท้จริงรับหรือนำไปปรับใช้หากเห็นสมควร ซึ่งมาตรการดังกล่าวทำให้การตรวจสอบของรัฐบาลเงาไม่เป็นการตรวจสอบแบบจับผิดฝ่ายตรงข้ามแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นการตรวจสอบในเชิงสร้างสรรค์ กล่าวคือ มีการนำเสนอแนวทางแก้ไขให้กับรัฐบาลที่แท้จริงอีกด้วย ในเรื่องของกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลเงานั้นจะเป็นไปตามหลักการที่ได้มีการตกลงกันเป็นการภายในของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด หรือพรรคการเมืองร่วมฝ่ายค้านทั้งหมดแล้วแต่กรณี กล่าวคือ อาจจะมีการตกลงโดยการออกเป็นมติพรรคให้มีการจัดการเลือกตั้งภายใน (Election) เพื่อทำการเลือกกลุ่มคณะบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลเงาอันเป็นวิธีการที่พรรคแรงงาน (Labour Party) ในประเทศอังกฤษใช้ หรือจะให้สิทธิขาดในการจัดตั้งรัฐบาลเงาแก่หัวหน้าพรรคแต่เพียงผู้เดียวในการเลือกสรรบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเงา (Shadow Minister) เช่นเดียวกันกับพรรคอนุรักษ์นิยมในประเทศอังกฤษ (Conservative Party) ใช้ก็ได้ หลักเกณฑ์ในการคัดสรรตัวบุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง (Portfolios) ในรัฐบาลเงาไม่ว่าจะเป็นระบบเลือกตั้งก็ดี หรือการได้รับการแต่งตั้งโดยตัวหัวหน้าพรรคก็ดี จะอยู่บนพื้นฐานของความเชี่ยวชาญชำนาญการของบุคคลนั้นๆ ว่าจะเหมาะกับการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเงาในกระทรวงใด ซึ่งการนี้เอง ระบบรัฐบาลเงาก็จะเป็นระบบที่จะทดสอบว่ารัฐมนตรีเงาต่างๆ นั้น มีศักยภาพเพียงพอในการที่จะเป็นรัฐมนตรีที่แท้จริงหากพรรคตนเองได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในอนาคตหรือไม่อีกด้วย ส่วนกรณีของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเงานั้น โดยส่วนใหญ่แล้ว หัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านจะเข้ามารับตำแหน่ง ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่าระบบรัฐบาลเงาแท้ที่จริงก็คือ มาตรการหนึ่งของพรรคการเมืองฝ่ายค้านในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่แท้จริงอย่างใกล้ชิด เรียกได้ว่าเป็นแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นายกฯ ต่อนายกฯ รัฐมนตรีต่อรัฐมนตรี” ซึ่งผู้เขียนก็เห็นว่าเป็นระบบที่ดีที่ควรจะได้นำมาปรับใช้ในการเมืองไทย ทั้งนี้ เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจและเห็นภาพลักษณ์ทางการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลที่แท้จริงอย่างเป็นทางการในรัฐสภาผ่านการยื่นกระทู้ถาม หรือการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีการถ่ายทอดทางสื่อต่างๆ กล่าวคือ ประชาชนก็จะสามารถเปรียบเทียบและเห็นถึงความสามารถได้อย่างชัดเจนเมื่อรัฐมนตรีที่แท้จริงต้องออกมาชี้แจงต่อรัฐมนตรีเงาที่อยู่ในกระทรวงเดียวกันในกรณีที่ได้มีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายตัวรัฐมนตรีนั้นๆ อนึ่ง ในประเทศนิวซีแลนด์ แม้ว่าในบางกรณีมิได้มีการยื่นกระทู้ถาม หรือมีการยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี แต่ประชาชนก็ยังสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารการตรวจสอบการดำเนินกิจการของรัฐบาลได้ เนื่องจากจะมีจัดการอภิปราย (Debate) ในประเด็นต่างๆ ระหว่างรัฐมนตรีจริงและรัฐมนตรีเงาในกระทรวงต่างๆ อยู่บ่อยครั้งโดยการถ่ายทอดสดผ่านสื่อสาธารณะ แต่อย่างไรเสีย คณะรัฐบาลเงาเองก็ต้องไม่ลืมว่าตนเองนั้น ก็ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลทางเลือก (Alternative Cabinet) ของประชาชนด้วย ดังนั้น การทำหน้าที่ต่างๆ จึงต้องเป็นไปตามขอบเขตที่ถูกต้องและเหมาะสมเสมือนหนึ่งรัฐบาลที่แท้จริงพึงต้องกระทำเยี่ยงเดียวกัน หากมีการกระทำเกินขอบเขตหรือไม่ถูกต้อง รัฐบาลเงาก็จำต้องรับผิดชอบทางการเมือง (collective responsibility) เยี่ยงรัฐบาลที่แท้จริงด้วยการลาออกด้วยเช่นเดียวกัน ผู้เขียนยังมีความกังวลอยู่ว่า แม้โดยสภาพของระบบรัฐบาลเงาจะเป็นมาตรการการตรวจสอบที่ดีตามที่ได้พิเคราะห์ผลงานที่ปรากฎขึ้นในประเทศต่างๆ ก็ตาม แต่เพียงแค่นำเอาระบบที่มีประสิทธิภาพในต่างประเทศมาใช้ในประเทศไทยโดยมิได้มีการคำนึงถึงสภาพและมาตรฐานทางการเมืองที่ผิดแผกแตกต่างกันก็คงจะไม่ค่อยมีประโยชน์นัก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตราบใดที่ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนจิตสำนึกของนักการเมืองไทยก็เป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะนำเอาระบบรัฐบาลเงามาใช้ โดยระบบของรัฐบาลเงานั้น เป็นการตรวจสอบเชิงสร้างสรรค์ หาได้เป็นการ “ค้านแบบหัวชนฝา” ไม่ กรณีหากรัฐบาลที่แท้จริงดำเนินการบริหารราชการแผ่นดินไปในแนวทางที่ดีแล้ว รัฐบาลเงาก็จะสนับสนุน ในทางกลับกัน กรณีหากรัฐบาลที่แท้จริงดำเนินกิจการไปโดยไม่เหมาะสมหรือถูกต้องนัก ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเงาที่จะโต้แย้งพร้อมทั้งให้การเสนอแนะ ซึ่งการนี้ทางรัฐบาลที่แท้จริงก็จะรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงการทำงานของตนเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ระบบดังกล่าวทั้งหมดนี้คือระบบรัฐบาลเงาที่ต่างประเทศได้ปฎิบัติต่อเนื่องกันมาเป็นปกติประเพณี ดังนั้น จะเป็นการเห็นได้อย่างชัดเจนว่าระบบรัฐบาลเงาที่แท้จริง มิใช่เป็นเพียงหน้าที่ของพรรคการเมืองฝ่ายค้านเท่านั้น หากแต่เป็นการร่วมมือร่วมใจกันทำงานของทั้งสองฝ่ายด้วย โดยในประเทศอังกฤษเองนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีเงาในบางกรณีจะมีการประชุมร่วมกันเพื่อปรึกษาหารือในการออกกฎหมายหรือแนวนโยบายต่างๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินเสียด้วยซ้ำ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของมาตรการรัฐบาลเงา จึงเป็นการจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติของนักการเมืองเดิมๆ ที่มีต่อการเมืองซึ่งมองว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูตลอดเวลา เมื่อใดอีกฝ่ายหนึ่งดำเนินการใดๆ ก็จะถือว่าไม่ถูกต้องอยู่เสมอ ทัศนคติเช่นนี้ไม่เพียงแค่ไม่สามารถที่จะแก้ไขวิกฤติการณ์ทางการเมืองได้ แต่ยังอาจก่อให้เกิดความแตกแยกกันทางการเมืองอีกด้วย ความสมานฉันท์ที่เรียกร้องกันคงมิอาจบังเกิดได้ ท้ายที่สุด ระบบรัฐบาลเงาเองก็เป็นเพียงแค่นโยบาย (Campaign) การหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านนอกฤดูการเลือกตั้งเท่านั้น และที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ระบบดังกล่าวกลับเป็นชนวนส่งผลให้เกิดแนวความคิดที่ขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น ก่อให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนทางการเมืองไทยในท้ายที่สุดนั่นเอง

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Clones are soon to be used in the war on drugs

Four of the cloned dogs called Toppy during their exercise break at the Defector Dog Training Center in Incheon, west of Seoul. (Lee Jin-man/AP Photo)
For those not familiar with clones or clinging. It is the science of creating genetically identical copies of an organism by replicating its DNA sequences. There are various forms of cloning. However for the purposes of this entry, I am referring to reproductive cloning.
Cloning is one of the most advanced technological discoveries in the field of modern biology. While some what new to existing in reality. The concept is rather old. In fact when I first think of cloning, Huxley's 1932 novel Brave New World is the first example which comes to mind. Along with many other works of science fiction which have speculated at a future manipulated by cloning. Some feature films include Jurassic Park, Island of Dr. Moreau, Blade Runner, Star Wars, The Island and many others. This technology is now fact, not fiction.
Cloning has the potential to repair or replace damaged organs or tissue, defective genes, hearts, infertility and possibly even cure cancer.
To date fish, cats, dogs, cattle, goats, horses, pigs, rabbits, rats, monkeys, sheep and many other animals have all been successfully cloned. At least this is the list disclosed to the public. It is plausible that secret research is occurring in labs around the planet as I type this.
So considering all the previously mentioned potential medical benefits cloning may bring to mankind. What has science chosen to use this new cloning technology for in real life applications? My first impulse was to cure a disease? No, the latest cloning accomplishment is a new line of cloned drug sniffing Labrador retrievers. All of which have passed a behavior test to check if they are qualified to work as drug sniffing dogs. Typically only 10 to 15 percent of naturally born dogs pass the test.
"They have a superior nature. They are active and excel in accepting the training," said Kim Nak-seung, a trainer at the Korean Customs Service affiliated dog training center.
If the cloned dogs succeed in other tests for physical strength, concentration and sniffing ability, they will be put to work by July next year at airports and harbors across South Korea, according to the training center.
Why not bomb sniffing dogs? Wouldn't that be more beneficial line of work cloned super dogs? The same laboratory claims they could clone cancer-sniffing canines. Who knows, prior to being excepted to purchase life or health insurance. You may need to be screened by a clog first?
If Hitler had cloning technology, I'm sure he would have cloned dogs to sniff out "inferior races" of human beings to send them off to concentration camps. Maybe the war on drugs will really out do the goals of Nazi science and be the first to use cloned dogs (or cloned super soldiers) to send its "undesirable" citizens off to prisons. Of course this technology will not be limited to dogs, it will eventually be applied in new forms of eugenics. Are human beings with altered or missing receptor sites to far out of the realm of possibility?
I must confess I am NO expert on cloning. If there are any inaccuracies in this blog entry, please do let me know or correct me in the comments. I always welcome feed back in general as well.
Thanks for visiting!

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเมืองไทย

หยัน นายกฯ เพ้อเจ้อคิดย้ายสลัม [18 ส.ค. 51 - 05:03]
น.ส.รัชดา ธนาดิเรก ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าววานนี้ (17 ส.ค.) กรณีรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาที่ดินใต้ทางด่วนกว่า 7 หมื่นตารางวา ให้เป็นร้านค้าราคาประหยัดกว่า 10,000 ยูนิต ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย โดยจะใช้งบประมาณกว่า 1 พันล้านบาท ไม่น่าจะเกิดผลตามที่คาด ทำไมต้องใช้เงินถึง 1 พันล้านบาท ทั้งที่ไม่ต้องปรับพื้นที่หรือสิ่งปลูกสร้างเลย นอกจากนี้ หลายจุดไม่ใช่เส้นทางสัญจร มีรถเมล์ผ่านน้อย นโยบายนี้สะท้อนว่ารัฐบาลไม่ เข้าใจปัญหาของคนกรุงเทพฯจริง เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการคือสถานที่ออกกำลังกาย เช่น ลานแอโรบิก สนามกีฬา สถานที่พักผ่อน ส่วนการที่นายกฯมีนโยบายจะย้ายสลัม 1,700 แห่ง ออกจากเขตเมืองนั้น ควรคิดก่อนพูด และควรรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง เพราะต้องเตรียมแผนการไว้ รองรับความเดือดร้อนให้ดีก่อนว่า จะให้ย้ายไปอยู่ที่ไหน อย่างไร เนื่องจากตอนนี้ประชาชนกำลังรู้สึกเสียขวัญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่อยู่อาศัย เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ยังทำงานไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะประชาชนยังร้องเรียนเรื่องบ้านมั่นคงจำนวนมาก นอกจากนี้ การจะนำสลัมออกไปเพื่อปรับเป็นพื้นที่สีเขียวนั้น ที่จริงมีทางออกที่ดีกว่า คือรัฐบาลน่าจะไปศึกษาแนวทางการทำงานของ กทม. ที่ตอนนี้ได้ทำเรื่องขอใช้พื้นที่ของหน่วยงานราชการ ที่เป็นที่รกร้างมาทำเป็นพื้นที่สีเขียว ทีมาของแหล่งข่าว www.thairath.com ปีที่ 59 ฉบับที่ 18472 วันจันทร์ ที่ 18 สิงหาคม 2551

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เด็กทำผิดเอาผิดกับใคร?


พ่อแม่แก๊งซิ่งต้าน ก.ม. "เอาผิดผู้ปกครอง"
ควันหลงจากการจับกุม "แก๊งรถซิ่ง" บนถนนศรีนครินทร์ ในพื้นที่ จ.สมุทรปราการ ในตอนย่ำรุ่งของวันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะ "สะใจ" ที่แก๊งกวนเมืองถูกล้อมจับได้เกือบร้อยคน บ้างก็อาจ "สลดใจ" ที่เห็นภาพวัยรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่อายุไม่ถึง 20 ปี ถูกจับกุม-คุมขัง ทั้งที่น่าจะได้มีโอกาสเล่าเรียนตามปกติ แต่สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กเหล่านั้น พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อลูกของตัวเองต้องตกเป็น "ผู้ต้องหา" มิหนำซ้ำตัวเองก็ต้องกลายเป็น "จำเลยร่วม" โทษฐานยุยงส่งเสริมหรือยินยอมให้เด็กประพฤติตัวไม่เหมาะสม ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กและเยาวชน ซึ่งมีโทษปรับไม่เกิน 3,000 บาท จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ!?!? ที่มาจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
Editor Note:
ปิดฉากแก๊งค์ซิ่งกวนเมือง ตำรวจปากน้ำรวบได้เกือบร้อยคัน 7 ส.ค. 48
โดย : NaiNat อีเมล์ : m@m.com วันที่ : 2005-08-09 09:21:24

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Should parents be responsible if their children behave badly?

In the present, Many topic in the daily newspaper had crimes and social problems are caused by children. The parents should control by decree about crimes committed by children.
This essay will explain to parents should be forced to pay for their children's crimes.
Many reasons why parents should not be responsible for crimes committed by children. First, Don't have parents look after the children all the time because they are working hard.Secondly, the children are intend follow the friend sometime the children get a good friend or bad. Third point, the children aggressive to social don't to do follow the decree
However, the parents should be responsible, One reason the parents give support the children too, while the children not mature, additionally the parents should tack care the children less one time by the day. Furthermore, the parents should instruct to children about you should….., you must…..., you have to ...., example, After - clap act catch "Motorbike gang" on Srinakarin Road Samudpakran. Many people is satisfied with motorbike gang catch by police, the children about less one hundred person. Many people not feeling such as the children is less than 20 year old. They are catch and cage. Origin by Khom Chut Loak
In my opinion the parents should be responsible if their children be have badly but not agree such as catch person don't mistaken to the law and cam.